สั่งซื้อโทรกลับ

8 วิธีประเมินระบบ DLP ก่อนนำมาใช้ในองค์กร

ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจสำคัญขององค์กร การปกป้องข้อมูลรั่วไหล (Data Loss Prevention หรือ DLP) จึงเป็นเครื่องมือที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยความซับซ้อนและคุณสมบัติที่หลากหลายของระบบ DLP การเลือกใช้โซลูชันที่เหมาะสมจึงต้องใช้ความเข้าใจและแนวทางที่ชัดเจน

Yazen Rahmeh ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จาก SearchInform ได้แบ่งปันหลักเกณฑ์สำคัญและคู่มือทีละขั้นตอนในการประเมินและเลือกใช้ระบบ DLP ที่จะตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด

ขั้นตอนที่ 1: กำหนดความต้องการขององค์กรให้ชัดเจน

ก่อนการเลือกใช้ระบบ DLP องค์กรควรกำหนดวัตถุประสงค์หลักให้ชัดเจน:

  • การป้องกันการรั่วไหลทั่วไป: เน้นการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล บันทึกทางการเงิน หรือข้อมูลความลับอื่นๆ ไม่ให้หลุดรอดออกไป
  • การสอดส่องและระบุภัยคุกคามภายใน: ใช้ DLP เป็นเครื่องมือหลักในการตรวจจับและป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคลากรภายใน เช่น การทุจริต การขโมยข้อมูล หรือการทำงานให้คู่แข่ง

การระบุความต้องการที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยกำหนดทิศทางในการเลือกระบบ DLP ที่เหมาะสมกับภารกิจขององค์กร

ขั้นตอนที่ 2: ประเมินความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ (Vendor)

การพิจารณาความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการเป็นสิ่งสำคัญก่อนการทดสอบระบบ ควรตรวจสอบประวัติการดำเนินงานของผู้ให้บริการในตลาด และความสม่ำเสมอในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การที่ผู้ให้บริการอยู่ในตลาดมานานแต่ไม่มีการอัปเดตหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าการสนับสนุนในอนาคตอาจไม่เพียงพอ การเลือกร่วมงานกับผู้ให้บริการที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบ DLP อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น

ขั้นตอนที่ 3: ทดสอบระบบอย่างเข้มข้น (Full-Scale Stress Testing)

การทดสอบระบบ DLP แบบเต็มรูปแบบภายใต้สภาวะการใช้งานจริงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากผู้ให้บริการไม่สามารถจัดหาระบบสำหรับการทดสอบได้ ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การทดสอบควรครอบคลุม:

  • การครอบคลุมทุกช่องทางการสื่อสาร: ระบบควรสามารถตรวจสอบและป้องกันข้อมูลในช่องทางที่หลากหลาย เช่น อีเมล, เว็บเบราว์เซอร์, แพลตฟอร์มแชทองค์กร (Telegram, WhatsApp), Cloud Storage, เครื่องพิมพ์, อุปกรณ์ USB, การเข้าถึงระยะไกล (Zoom, RDP), และ Microsoft 365
  • ความสามารถในการวิเคราะห์และบล็อก: การบล็อกข้อมูลควรเป็นไปตามคุณสมบัติด้านเนื้อหา (Content) และบริบท (Context) ระบบ DLP ที่มีประสิทธิภาพควรวิเคราะห์ข้อมูลได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความดิบ กราฟิก หรือแม้แต่เสียงจากการสนทนาในแพลตฟอร์มแชท
  • ประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูล: ความสามารถในการค้นหาข้อมูลไม่ควรจำกัดแค่การค้นหาแบบทั่วไป แต่ควรมีคุณสมบัติขั้นสูง เช่น การค้นหาด้วย Morphology, Digital Fingerprints, การค้นหาเนื้อหาที่คล้ายกัน และการค้นหาแบบซับซ้อน เพื่อให้สามารถระบุและบล็อกข้อมูลได้อย่างแม่นยำในทุกรูปแบบและช่องทางการส่ง
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบฐานข้อมูลนโยบายความปลอดภัยสำเร็จรูป (Preset Policies)

ผู้ให้บริการ DLP ที่มีประสบการณ์มักจะมีชุดนโยบายความปลอดภัยที่สร้างไว้ล่วงหน้า (Preset Policies) ให้เลือกใช้หลายร้อยแบบ ซึ่งปรับแต่งตามประเภทอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ทันที สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถเริ่มใช้งานระบบและเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วหลังการติดตั้ง นอกจากนี้ ระบบควรมีความยืดหยุ่นให้องค์กรปรับแต่งนโยบายได้เอง และมีผู้เชี่ยวชาญจากผู้ขายคอยให้คำปรึกษาด้วย

ขั้นตอนที่ 5: ประเมินฟังก์ชันเสริมเพิ่มเติม

ระบบ DLP ที่ดีไม่ควรแค่บล็อกการรั่วไหล แต่ควรให้ประโยชน์อื่นๆ ด้วย:

  • e-forensics: ความสามารถในการสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • Time Tracking: การติดตามเวลาการทำงาน
  • Hardware/Software Audit: การตรวจสอบฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
  • UBA/UEBA (User/User and Entity Behavior Analytics): การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และเอนทิตีเพื่อตรวจจับความผิดปกติ

ฟังก์ชันเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรมีเครื่องมือครบครันในการป้องกันภัยคุกคามจากคนในองค์กร เช่น การฉ้อโกง หรือการทุจริต

ขั้นตอนที่ 6: ประเมินความต้องการทางเทคนิคและการจัดการพื้นที่จัดเก็บ

ระบบ DLP ที่ดีควรมีประสิทธิภาพสูงโดยไม่กินทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์มากเกินไป ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนฮาร์ดแวร์ที่ต้องลงทุน ดังนั้น ผู้ให้บริการควรมีการปรับปรุงระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระทรัพยากร เช่น:

  • ฟังก์ชัน Deduplication: ลบข้อมูลซ้ำซ้อนเพื่อประหยัดพื้นที่จัดเก็บและลดภาระการวิเคราะห์
  • การบีบอัดไฟล์: เพื่อลดขนาดข้อมูลที่จัดเก็บ
  • การยกเว้นข้อมูล: กำหนดให้ระบบไม่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง
  • การประมวลผลบน Agent: ให้ซอฟต์แวร์ DLP ทำงานบางส่วนบนเครื่องของผู้ใช้โดยตรง ซึ่งช่วยลดปริมาณทราฟฟิกไปยังเซิร์ฟเวอร์และทำให้การบล็อกข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว

การจัดการพื้นที่จัดเก็บที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ปัญหาประสิทธิภาพการทำงานที่ช้าลง และทำให้ระบบไม่ตอบสนองเมื่อเกิดเหตุการณ์จำนวนมาก

ขั้นตอนที่ 7: ตรวจสอบคุณภาพการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ

ประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการสนับสนุนเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกระบบ DLP องค์กรควรเข้าถึงการสนับสนุนทางเทคนิคได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำกัดเพียงการส่งอีเมลที่อาจใช้เวลานาน การสามารถติดต่อวิศวกรได้แบบเรียลไทม์ หรือการมีสำนักงานของผู้ให้บริการในพื้นที่ จะช่วยให้การแก้ไขปัญหาและการตั้งค่าเพิ่มเติมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนที่ 8: พิจารณา DLP ในรูปแบบบริการ (DLP as a Service)

DLP ในรูปแบบบริการ (DLPaaS) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่อาจขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูลโดยเฉพาะ ด้วยรูปแบบนี้ ผู้ให้บริการจะเป็นผู้จัดการระบบ DLP ทั้งหมดให้องค์กร ตั้งแต่การติดตั้ง กำหนดค่า ตรวจสอบสถานการณ์ ป้องกันเหตุการณ์ ไปจนถึงการจัดทำรายงานสถานะความปลอดภัย ซึ่งช่วยลดภาระการลงทุนเริ่มต้นในส่วนของไลเซนส์ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรได้อย่างมาก

บทสรุป: ก้าวสู่ความปลอดภัยด้วย DLP ที่ใช่

ระบบ DLP ในปัจจุบันได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการรักษาความปลอดภัยข้อมูล สามารถช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การลงทุนในระบบ DLP ที่เหมาะสมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับความมั่นคงและอนาคตที่ยั่งยืนขององค์กร การทำความเข้าใจความต้องการของตนเองอย่างชัดเจน และการทดสอบระบบอย่างละเอียด จะนำไปสู่การเลือกระบบ DLP ที่ดีที่สุดสำหรับการปกป้องข้อมูลอันมีค่า

______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

ถึงเวลาปกป้องข้อมูลองค์กรของคุณอย่างจริงจัง! SearchInform พร้อมเป็นผู้ช่วยในการสร้างความมั่นคงปลอดภัยด้านข้อมูล ค้นพบโซลูชัน AI เพื่อความปลอดภัยข้อมูลที่เหมาะสมกับองค์กรของคุณได้ที่: https://activemedia.co.th/products/searchinform/