สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และคราวนี้ดูเหมือนจะร้อนแรงกว่าที่เคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของ สงครามไซเบอร์ เมื่อกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ของสหรัฐฯ ได้ออกประกาศเตือนภายในที่น่าจับตา นั่นคือ อิหร่านอาจพยายาม "เล็งเป้า" เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงการโจมตีเครือข่ายไซเบอร์ หากผู้นำอิหร่านเชื่อว่า "ความมั่นคงหรือการอยู่รอด" ของระบอบการปกครองของตนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง นี่ไม่ใช่แค่ข่าวทั่วไป แต่เป็นสัญญาณเตือนที่สะท้อนถึงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการโจมตีทางทหารล่าสุดของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน โดยมีภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นแนวหน้า
จุดเริ่มต้นของความกังวล
ประกาศของ DHS ที่ลงวันที่ 22 มิถุนายนนี้ ถูกส่งตรงไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั้งในระดับรัฐและท้องถิ่นทั่วประเทศ เนื้อหาชี้ชัดว่า มีหลายสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การที่อิหร่านจะเล็งเป้าหมายเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รวมถึงการขยายตัวของการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น หากเตหะรานเชื่อว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้นำคนสำคัญของอิหร่าน หรือหากการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป

การตอบโต้ที่มาพร้อมกับภัยไซเบอร์
แม้จะมีการยิงขีปนาวุธเข้าใส่ฐานทัพทหารสหรัฐฯ ในกาตาร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้การโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ แต่ DHS มองว่าการเชื่อมโยงที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งจากการวิเคราะห์ข่าวกรองและการบังคับใช้กฎหมาย คือภัยคุกคามด้านไซเบอร์ คำเตือนนี้เน้นย้ำถึงปฏิกิริยาที่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล อันเป็นผลมาจากการตัดสินใจของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการโจมตีอิหร่าน
เสียงสะท้อนจากผู้นำ DHS และภัยคุกคามรอบด้าน
นางคริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ได้เน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานว่า "เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรักษาประเทศชาติให้ปลอดภัยและได้รับข้อมูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้ง" เธอยังเตือนอย่างชัดเจนว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ยังคงดำเนินอยู่ อาจนำไปสู่ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การโจมตีทางไซเบอร์ ในรูปแบบต่างๆ การกระทำที่รุนแรง หรืออาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อต้านชาวยิว
รูปแบบการ "เล็งเป้า" และบทเรียนจากอดีตในโลกไซเบอร์
แม้ประกาศของ DHS จะไม่ได้ระบุเจาะจงว่าการ "เล็งเป้า" เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะมีลักษณะอย่างไร แต่เราก็มีบทเรียนจากอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของไซเบอร์ กระทรวงยุติธรรมเคยกล่าวหาว่าอิหร่านพยายามสังหารอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และอดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ จอห์น โบลตัน โดย หน่วยงานความมั่นคงของอิหร่านมักใช้การแฮกเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับเป้าหมายการลอบสังหารหรือการเฝ้าระวัง นี่คือวิธีการที่ละเอียดอ่อนแต่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่อาจเกิดขึ้น อดีตเจ้าหน้าที่ทรัมป์และคนสนิทของโบลตันบางคนก็เคยถูกแฮกในปี 2022 เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของโบลตัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนของการโจมตีทางไซเบอร์กับการคุกคามทางกายภาพ
ความกังวลด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นและประเด็น "การเปลี่ยนระบอบ"
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (DHS) แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยเฉพาะในระยะสั้น โดยในรายงานล่าสุดที่ CNN ได้รับ มีการระบุว่า:
“สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในขณะนี้คือ การที่กลุ่มแฮกเกอร์ที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน อาจเปิดฉากโจมตีไซเบอร์ในระดับต่ำต่อเครือข่ายของสหรัฐฯ เช่น การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial-of-Service) ที่มุ่งทำให้ระบบล่มหรือใช้งานไม่ได้”
นอกจากนี้ DHS ยังเตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการโจมตีทั้งในรูปแบบไซเบอร์และกายภาพต่อ “โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ” ไม่ว่าจะเป็นระบบพลังงาน คมนาคม หรือหน่วยงานของรัฐ และแม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีภัยคุกคามที่น่าเชื่อถือจากเครือข่ายกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในสหรัฐฯ แต่ทางการก็ยังจับตาการเคลื่อนไหว และระบุว่า “ภัยเงียบ” อย่างการแฮกเพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรองยังคงเป็นสิ่งที่ต้องระวังอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์นี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า แม้การโจมตีทางกายภาพจะดูห่างไกล แต่ภัยคุกคามทางไซเบอร์สามารถเข้าถึงได้ทุกเมื่อ และมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในความขัดแย้งสมัยใหม่ การรับรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างภัยคุกคามทางไซเบอร์กับการรักษาความมั่นคงของชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราทุกคนควรให้ความสนใจ