
Coremail คือระบบอีเมลสำหรับองค์กร (Enterprise Email Solution) ที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1999 โดยบริษัท Guangdong Yingshi (Mailtech) จากประเทศจีน มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บริการระบบอีเมลที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สำหรับหน่วยงานและองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ปัจจุบัน Coremail ได้รับความไว้วางใจใช้งานโดยองค์กรกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ มหาวิทยาลัย สถาบันการเงิน และบริษัทยักษ์ใหญ่ (เช่น บริษัท Fortune 500 ในเอเชีย) ซึ่งบ่งชี้ถึงความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการรองรับการใช้งาน ในระดับองค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้ Coremail ยังเป็นระบบอีเมลที่รองรับผู้ใช้จำนวนมหาศาล โดยเป็นระบบอีเมลรายแรกของจีน ที่สามารถรองรับผู้ใช้ได้ระดับ “หลายร้อยล้านคน” (เทียบเท่ากับบัญชีผู้ใช้อีเมลกว่า หนึ่งพันล้านบัญชี ที่ใช้งานผ่านเทคโนโลยีของ Coremail)

Coremail ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานอีเมลหลักภายในองค์กร ไม่ว่าจะใช้สำหรับการ รับ-ส่ง อีเมลภายในหรือภายนอกองค์กร การจัดเก็บและค้นหาข้อมูลอีเมล รวมถึงการบริหารจัดการผู้ใช้อีเมลในองค์กร กล่าวได้ว่า Coremail ทำหน้าที่คล้ายกับระบบอย่าง Microsoft Exchange หรือ ระบบอีเมลเซิร์ฟเวอร์ อื่นๆ แต่มีจุดเด่นด้านความปลอดภัย ความเสถียร และฟีเจอร์ขั้นสูงที่ตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ โดย Coremail มีชุดผลิตภัณฑ์และโซลูชันครบวงจรที่เกี่ยวข้องกับระบบอีเมล เช่น ระบบเมลเซิร์ฟเวอร์สำหรับองค์กร, บริการอีเมลโฮสติ้ง, ระบบเก็บถาวรอีเมล (Email Archiving), เกตเวย์ความปลอดภัยอีเมล (Email Security Gateway) และระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหลผ่านอีเมล (Email Data Leakage Prevention) เป็นต้น ซึ่งช่วยให้องค์กร สามารถจัดการวงจรชีวิตของอีเมลทั้งหมด ได้อย่างครบถ้วนในระบบเดียว
คุณสมบัติเด่นของ Coremail สำหรับองค์กร
Coremail มีสมบัติและฟีเจอร์ที่โดดเด่นหลายประการ เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจ ในด้านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ ดังนี้
ความปลอดภัยระดับองค์กร (Enterprise-grade Security): Coremail ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลอีเมล เป็นอันดับแรก ระบบรองรับการเข้ารหัสการรับส่งอีเมลแบบ End-to-End ผ่านโปรโตคอล SSL/TLS เพื่อป้องกันการดักจับข้อมูลระหว่างทาง และยังมีการเข้ารหัสข้อมูล ที่จัดเก็บอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลหากระบบถูกโจมตี นอกจากนี้ Coremail ยังมีระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) เพื่อป้องกันการบุกรุกบัญชีผู้ใช้, ระบบป้องกันมัลแวร์และฟิชชิ่งด้วยเอนจินแอนตี้ไวรัสคู่ (Dual Anti-Virus Engines) และเทคโนโลยี Safe Browsing ที่คอยตรวจจับลิงก์ หรืออีเมลที่น่าสงสัย และแจ้งเตือนผู้ใช้แบบเรียลไทม์ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยเหล่านี้ ทำให้ Coremail เหมาะสำหรับองค์กร ที่ต้องการรักษาความลับของข้อมูล และปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย และกฎหมายคุ้มครองข้อมูล (เช่น PDPA ในประเทศไทย) อย่างเคร่งครัด


ระบบอัจฉริยะและการใช้งาน AI: Coremail มีการผสานรวมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานประจำวันของผู้ใช้อีเมล ตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์ช่วยร่างอีเมลอัจฉริยะ (Smart Drafting), ระบบตรวจสอบไวยากรณ์และการสะกด (Proofreading), ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ (Email Translation) และ ระบบสรุปเนื้อหาอีเมล เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลา ในการประมวลผลข้อความจำนวนมาก จุดเด่นอีกประการคือ Coremail สามารถเชื่อมต่อกับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ด้านภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models - LLM) ชั้นนำแบบ “Plug-and-play” เช่น DeepSeek, OpenAI (รวมถึงบริการ Azure OpenAI) ตลอดจนโมเดล AI ภาษาจีนอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องปรับโครงสร้างระบบใหม่แต่อย่างใด คุณสมบัตินี้ เปิดโอกาสให้องค์กรสามารถนำ AI เข้ามาช่วยงานในระบบอีเมลของตนได้อย่างราบรื่นและยืดหยุ่น ซึ่งเป็นจุดขายที่แตกต่างจากโซลูชันอีเมลอื่นๆ ในตลาด
ความเสถียรและความพร้อมใช้งานสูง (High Availability): ในระดับองค์กร ความต่อเนื่องในการให้บริการอีเมล ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก Coremail จึงออกแบบสถาปัตยกรรมระบบให้รองรับ High Availability โดยมีโหนดเซิร์ฟเวอร์หลายตัวทำงานแบบ Multi-Active (พร้อมกันหลายศูนย์) และมีระบบ Automatic Failover ที่ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์อื่น สามารถรับช่วงงานทันที เมื่อมีเซิร์ฟเวอร์ตัวใดตัวหนึ่งขัดข้อง นอกจากนี้ Coremail XT6 ยังประกอบด้วยโมดูลระบบย่อยถึง 22 โมดูล ที่สนับสนุนสถาปัตยกรรมแบบ multi-active cluster เพื่อเพิ่มความทนทานของบริการอีกด้วย แนวทางการออกแบบนี้ ทำให้องค์กรมั่นใจได้ว่าระบบอีเมล จะ ไม่ล่มง่าย และมีเวลาหยุดให้บริการ (downtime) ต่ำมาก แม้ในกรณีที่มีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ ไฟฟ้า หรือเครือข่าย ก็จะไม่กระทบการสื่อสารทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ


รองรับการขยายระบบและการโยกย้าย (Scalability & Migration): Coremail ถูกพัฒนาให้รองรับการเติบโตขององค์กรได้อย่างยืดหยุ่น สามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้ หรือปริมาณทราฟฟิกได้ด้วยการ ขยายระบบแบบไดนามิก (Dynamic Expansion) และการปรับเพิ่มทรัพยากรแบบ Elastic Scaling ในสถาปัตยกรรม container/cloud ซึ่งทำให้การปรับขนาดระบบ ทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที สำหรับองค์กรที่มีระบบอีเมลเดิม และต้องการเปลี่ยนมาใช้ Coremail ระบบนี้ยังมีเครื่องมือช่วยในการ ย้ายข้อมูล (Migration) ได้อย่างราบรื่น เช่น การใช้วิธี Parallel Deployment และ Gradual Migration ที่ทำให้สามารถย้ายจากระบบเก่า (เช่น Microsoft Exchange หรือ IBM Domino) มายัง Coremail ได้โดยไม่ต้องหยุดระบบ หรือพึ่งพาเทคโนโลยีภายนอก ลดความเสี่ยงที่ธุรกิจจะหยุดชะงัก ระหว่างเปลี่ยนผ่านระบบ
ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีและฟังก์ชันครบครัน: Coremail ให้ความสำคัญกับการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานอีเมลของพนักงานในองค์กร ฟีเจอร์ต่างๆ ถูกพัฒนาให้ใช้งานง่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น ระบบ จัดหมวดหมู่อีเมลอัตโนมัติ (Email Categorization) ที่ช่วยแยกประเภทอีเมลจำนวนมาก เพื่อให้จัดการได้ง่ายขึ้น, เครื่องมือแก้ไขข้อความแบบสมบูรณ์ (Feature-Rich Editor) ที่รองรับการจัดรูปแบบขั้นสูง เช่น การแทรกตารางและรูปภาพ ทำให้อีเมลที่ส่งออกดูเป็นมืออาชีพ, รวมถึง ฟังก์ชันปฏิทิน (Calendar) ที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถแนบไฟล์ลงในนัดหมาย กำหนดเวลาการประชุมที่ยืดหยุ่น และใส่คำอธิบายแบบ rich-text ได้ เพื่อให้การนัดหมายและประชุม มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในด้านการเข้าถึง ระบบรองรับการใช้งานจากหลากหลายอุปกรณ์ (คอมพิวเตอร์, มือถือ, แท็บเล็ต) และมีนโยบายความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น การกำหนด รายการอุปกรณ์ที่อนุญาต และรหัสผ่านเฉพาะสำหรับแอปภายนอก เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานทุกช่องทาง ยังคงปลอดภัย โดยสรุป Coremail ผสานระหว่าง ประสิทธิภาพ กับ ความปลอดภัย ได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้ใช้งานทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ไว้วางใจได้

รายละเอียดเชิงเทคนิคของ Coremail
สถาปัตยกรรมระบบ และความสามารถในการรองรับผู้ใช้
Coremail มีการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบที่คำนึงถึงทั้ง ความเสถียร (Stability) และ ความยืดหยุ่นในการขยายตัว (Scalability) เป็นหลัก ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ซอฟต์แวร์ Coremail XT6 ถูกพัฒนาให้สามารถติดตั้งแบบ คอนเทนเนอร์ (Containerized Deployment) และทำงานในสภาพแวดล้อมคลาวด์หรือ virtualization ได้อย่างสมบูรณ์ การใช้คอนเทนเนอร์ ช่วยให้สามารถปรับใช้ (deploy) ระบบได้รวดเร็วและง่ายดาย และรองรับการปรับขนาด (scale-out) แบบอัตโนมัติตามปริมาณโหลดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เทคโนโลยีนี้ ช่วยให้องค์กรสามารถย้ายระบบอีเมล “ขึ้นระบบ Cloud” ได้ง่าย (“Easy cloud transition”) โดยไม่ติดขัดกับโครงสร้างแบบเดิมของระบบมากนัก

ในด้านการรองรับผู้ใช้ Coremail มี สถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์ (Modular Architecture) ที่ประกอบด้วยโมดูลการทำงานแยกส่วนกว่า 20 โมดูล ซึ่งสามารถกระจายงานบนโหนดเซิร์ฟเวอร์หลายตัวได้ ระบบแบบหลายโหนดนี้ ทำให้ Coremail สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้จำนวนมากพร้อมๆ กันโดยไม่เกิดคอขวด (bottleneck) ได้ง่าย ทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยี CDN (Content Delivery Network) มาช่วยกระจายทราฟฟิกการเรียกใช้งาน webmail และ attachment ทำให้ลดการใช้แบนด์วิธลงได้ ~20-30% และลดความหน่วง (latency) ในการเข้าถึงสำหรับผู้ใช้ ที่อยู่ต่างสถานที่ ประสิทธิภาพและการขยายตัวในระดับนี้เอง ที่ทำให้ Coremail เคยถูกเลือกใช้งานเป็นระบบอีเมลหลัก ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตชื่อดังในจีนอย่าง Netease (ที่ให้บริการอีเมล @163.com และ @126.com ซึ่งมีผู้ใช้นับร้อยล้าน) และขยายฐานสู่ภาคส่วนอื่นๆ เช่น รัฐบาล มหาวิทยาลัย และองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ในเวลาต่อมา
อีกหนึ่งประเด็นเชิงสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นคือ Coremail รองรับการทำงานแบบ Multi-Active Data Center กล่าวคือ สามารถตั้งเซิร์ฟเวอร์ในหลายศูนย์ข้อมูล เพื่อทำงานร่วมกันแบบ active-active ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งความทนทานของระบบ (fault tolerance) และลดเวลาเข้าถึงสำหรับผู้ใช้ ที่อยู่ใกล้ศูนย์ข้อมูลใดศูนย์ข้อมูลหนึ่ง เมื่อประกอบกับระบบ Failover อัตโนมัติ ทำให้การให้บริการมีความต่อเนื่องสูง (high continuity) ยากที่จะเกิดเหตุการณ์ ที่ระบบหยุดทำงานทั้งหมดพร้อมกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีที่องค์กรต้องการ สำรองข้อมูลและกู้คืนระบบ (Disaster Recovery) Coremail ก็มีแนวทาง Multi-Active Disaster Recovery ที่สามารถซิงก์ข้อมูลระหว่างศูนย์ได้อย่างเรียลไทม์ ลดการสูญหายของข้อมูลและเวลา downtime เมื่อเกิดภัยพิบัติ หรือเหตุขัดข้องร้ายแรงในบางศูนย์ข้อมูล
ความปลอดภัยและการเข้ารหัสข้อมูล
Coremail ใช้มาตรการความปลอดภัยหลายชั้น (Multi-layered Defense) เพื่อปกป้องทั้งตัวระบบ และข้อมูลอีเมลขององค์กร ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ประการแรกคือการเข้ารหัสข้อมูล: Coremail สนับสนุนการเข้ารหัสการเชื่อมต่อด้วย SSL/TLS สำหรับทุกโปรโตคอล (SMTP, IMAP, POP3, Webmail) ทำให้ข้อมูลอีเมลและรหัสผ่าน ที่รับส่งบนเครือข่าย ได้รับการปกป้องจากการถูกดักจับ (Man-in-the-Middle) สำหรับข้อมูลที่จัดเก็บ (at-rest) บนเซิร์ฟเวอร์ ระบบก็มีการเข้ารหัสหรืออย่างน้อย จัดเก็บในรูปแบบไบนารีที่บีบอัดและเข้ารหัส ด้วยอัลกอริทึมพิเศษของบริษัท เพื่อให้ไม่สามารถอ่านเข้าใจ ได้แม้ข้อมูลจะรั่วไหลไป และยังช่วยลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลลงอีกด้วย นอกจากนี้ Coremail ยังเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยให้บัญชีผู้ใช้ด้วยฟีเจอร์ Multi-factor Authentication ที่รองรับการยืนยันตัวตนได้หลายรูปแบบ (เช่น รหัสผ่านร่วมกับ OTP หรือการยืนยันผ่านอุปกรณ์เฉพาะ) ผู้ดูแลระบบยังสามารถกำหนด policy รหัสผ่านที่เข้มงวด (เช่น ความยาวขั้นต่ำ, การใช้ตัวอักษรพิเศษ ฯลฯ) และตั้งค่าให้แจ้งเตือน เมื่อมีการล็อกอินจากอุปกรณ์ หรือสถานที่ที่ไม่เคยใช้มาก่อนได้ เพื่อเพิ่มการรักษาความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้องค์กรแบบ Zero Trust มากยิ่งขึ้น

ในส่วนของการป้องกันภัยคุกคามภายนอก Coremail มีระบบกรองอีเมลที่เป็นอันตรายหลากหลายรูปแบบ เริ่มจาก Antivirus Engine สองชุด ที่ผสานเทคโนโลยีจาก Kaspersky และ Qi-Anxin (ผู้พัฒนาความปลอดภัยไซเบอร์จีน) เพื่อสแกนอีเมลหาไวรัสหรือมัลแวร์ที่แนบมา รวมถึงสามารถตรวจจับไฟล์แนบ ที่ถูกบีบอัดเข้ารหัส (Encrypted Attachments) ที่อาจถูกใช้ซ่อนมัลแวร์ได้ด้วย ในด้าน Anti-Spam และ Anti-Phishing ระบบใช้วิธีการหลายชั้น (Multi-layered) เช่น วิเคราะห์เนื้อหาและรูปแบบอีเมล ที่เข้าข่ายสแปมหรือฟิชชิ่ง, ตรวจสอบ URL ในอีเมลกับฐานข้อมูลเว็บอันตราย (Safe Browsing) และอาศัย แพลตฟอร์ม AI ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ชื่อ Nerve2.0 เพื่อเรียนรู้แบบแผนการโจมตีใหม่ๆ ทำให้สามารถกรองอีเมลขยะ และอีเมลหลอกลวงได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 99.8% จากสถิติ Coremail Security Gateway ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันความปลอดภัยของระบบ ได้ปกป้องผู้ใช้กว่า 250,000 รายต่อวัน และวิเคราะห์อีเมลที่เข้าข่ายสแปมกว่า 30 ล้านฉบับต่อวัน พร้อมทั้งบล็อกอีเมลที่เป็นอันตรายมากกว่า 1 ล้านฉบับในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าระบบมีความพร้อมในการป้องกันภัยไซเบอร์ ที่มาทางอีเมลอย่างรอบด้าน
Coremail ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมด้านความปลอดภัยอย่าง Email Data Leakage Prevention (EDLP) ที่ใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาขั้นสูง เพื่อตรวจจับไม่ให้ข้อมูลที่อ่อนไหวขององค์กร ถูกส่งออกทางอีเมลโดยพลการ (เช่น การส่งไฟล์เอกสารความลับออกนอกองค์กร โดยไม่ได้รับอนุญาต) โดย EDLP สามารถกำหนด กฎการตอบสนอง ได้หลายแบบทั้งแบบแจ้งเตือน (post-audit alert) หรือสกัดกั้นกลางทาง เมื่อพบการส่งข้อมูลต้องห้าม เป็นต้น รวมถึงมี Security Management Center สำหรับผู้ดูแลระบบไว้ตรวจสอบสถานะ และพฤติกรรมการใช้งานของระบบอีเมลแบบเรียลไทม์ ช่วยในการตัดสินใจเชิงความปลอดภัย และตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย
การผสานระบบและ API รวมถึงการรองรับ AI
Coremail ถูกออกแบบมาให้สามารถผสานรวม (integrate) เข้ากับสภาพแวดล้อม IT เดิมขององค์กรได้อย่างยืดหยุ่น องค์กรที่ใช้ Microsoft Active Directory (AD) หรือ LDAP สำหรับบริหารจัดการบัญชีผู้ใช้ สามารถเชื่อมต่อ Coremail เข้ากับฐานข้อมูลผู้ใช้เหล่านั้น เพื่อให้ผู้ใช้ล็อกอินด้วยบัญชีเดิมขององค์กรได้ทันที ลดความยุ่งยากในการสร้างบัญชีใหม่ นอกจากนี้ Coremail ยังรองรับมาตรฐาน โปรโตคอลอีเมลสากล เช่น SMTP, IMAP, POP3 อย่างครบถ้วน ทำให้สามารถทำงานร่วมกับไคลเอนต์อีเมลและอุปกรณ์ต่างๆ ได้หลากหลาย (เช่น Microsoft Outlook, Apple Mail, รวมถึงการเชื่อมต่อผ่าน ActiveSync กับอุปกรณ์เคลื่อนที่) รวมถึงสามารถผสานเข้ากับระบบอีเมลอื่น ภายในองค์กรที่อาจมีอยู่เดิม เช่น ระบบ Microsoft Exchange Server หรือ Lotus Notes/Domino โดยทำหน้าที่เป็น email relay หรือ gateway ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา (ตัวอย่างเช่น เกตเวย์ความปลอดภัยของ Coremail รองรับการกรองเมลให้ทั้งเซิร์ฟเวอร์ Coremail และเซิร์ฟเวอร์อื่นอย่าง Exchange, Office 365 (O365), Gmail, IBM Domino ฯลฯ)

ในส่วนของ API และการพัฒนาต่อยอด Coremail มีคุณสมบัติที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนา เชื่อมต่อฟังก์ชันของระบบอีเมล เข้ากับแอปหรือระบบอื่นๆ ขององค์กรได้ เช่น RESTful API/Web Services สำหรับจัดการกล่องจดหมายหรือผู้ใช้, การ hook เข้ากับระบบแจ้งเตือนภายในอื่นๆ เป็นต้น (รายละเอียดเชิงลึกของ API อยู่ในเอกสารทางเทคนิค) นอกจากนี้ จุดเด่นที่สำคัญในยุคปัจจุบันคือ Coremail สามารถผนวกเทคโนโลยี AI ภายนอกเข้ากับระบบได้ง่าย ผ่าน โมดูลการเชื่อมต่อ LLM (LLM Integration Module) ที่ทาง Coremail พัฒนาขึ้น เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับโมเดลภาษาขนาดใหญ่หลากหลายราย ทั้ง OpenAI, Azure OpenAI, DeepSeek, Ollama ตลอดจนโมเดล AI ภาษาจีนอื่นๆ การเชื่อมต่อแบบ plug-and-play นี้หมายความว่า องค์กรสามารถเลือกใช้บริการ AI ของผู้ให้บริการรายใดก็ได้ (ตามความเหมาะสมด้านค่าใช้จ่าย, ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล หรือความชำนาญของโมเดลภาษานั้นๆ) โดย Coremail เตรียมช่องทางไว้รองรับแล้ว ส่งผลให้การเพิ่มฟังก์ชัน AI เข้ามาเสริมในงานอีเมล เช่น การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงความหมาย, การจัดหมวดหมู่อีเมลอัตโนมัติขั้นสูง, หรือการโต้ตอบอัตโนมัติกับผู้ใช้ผ่านอีเมล สามารถทำได้ในอนาคตอย่างยืดหยุ่น
นอกจาก AI แล้ว Coremail ยังรองรับการปรับแต่งระบบ ให้เข้ากับความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กรได้สูง (customizability) เนื่องจากองค์กรสามารถเลือกที่จะ ติดตั้งระบบเองภายใน (On-Premises) เพื่อควบคุมการตั้งค่าทุกอย่างได้เต็มที่ หรือจะใช้เป็น บริการบนคลาวด์ (SaaS) ที่ Coremail ให้บริการโฮสต์ให้ก็ได้ โดยในกรณีติดตั้งเอง องค์กรสามารถปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ ของระบบ (UI, Workflow, Plugin เสริม ฯลฯ) ได้ตามต้องการ หรือแม้กระทั่งพัฒนาฟีเจอร์เพิ่มเติมเข้ามาเชื่อมกับ Coremail ผ่าน API หากมีความสามารถด้านเทคนิค
เปรียบเทียบ Coremail กับแพลตฟอร์มอีเมลองค์กรอื่นๆ
ตลาดโซลูชันอีเมลสำหรับองค์กรมีผู้เล่นสำคัญหลายราย นอกจาก Coremail แล้วยังมีแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Microsoft Exchange, Zimbra, Google Workspace (Gmail สำหรับธุรกิจ) รวมถึงโซลูชันอื่นๆ เช่น IBM Lotus Notes/Domino, IceWarp, Zoho Mail เป็นต้น แต่ละระบบมีจุดเด่นและจุดด้อยต่างกันไป ด้านล่างนี้ คือการเปรียบเทียบ Coremail กับโซลูชันหลักเหล่านี้ในประเด็นสำคัญ
Microsoft Exchange
Microsoft Exchange เป็นระบบอีเมลสำหรับองค์กร ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และถือเป็นมาตรฐานหลักของวงการมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Microsoft Exchange มีชื่อเสียงในด้าน ความยืดหยุ่น, ความสามารถในการปรับแต่ง, และการทำงานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ ของ Microsoft (เช่น Outlook, SharePoint, Teams) ได้อย่างไร้รอยต่อ ถือเป็น “โกลด์สแตนดาร์ด” ของระบบอีเมลภายในองค์กร ในมุมของฟังก์ชันและความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การใช้ Exchange แบบติดตั้งเอง (Exchange Server On-Premises) มี ต้นทุนที่สูง ทั้งค่าลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และค่าดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์ฮาร์ดแวร์ อีกทั้งยังต้องการทรัพยากรเครื่อง และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นภาระ สำหรับองค์กรขนาดกลางและเล็ก (แม้ว่า Microsoft จะมีเวอร์ชันคลาวด์คือ Exchange Online/Office 365 ให้เลือกใช้ แต่การจะใช้ฟังก์ชันได้ครบถ้วน ก็มักจำเป็นต้องสมัครใช้งานชุด Microsoft 365 ทั้งชุด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายผู้ใช้ต่อเดือนที่สูงขึ้นไปอีก)
เมื่อเปรียบเทียบกับ Coremail: ระบบ Coremail มีความสามารถพื้นฐานใกล้เคียงกับ Exchange ในแง่การให้บริการอีเมล, ปฏิทิน, รายชื่อผู้ติดต่อ และการทำงานร่วมกับ Outlook (ผ่านโปรโตคอลมาตรฐาน) เช่นกัน อย่างไรก็ตาม Coremail มีจุดเด่นเรื่อง ความคุ้มค่า และ ความยืดหยุ่นในการปรับใช้ ที่เหนือกว่า Exchange สำหรับบางกรณี โดย Coremail สามารถติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ทั่วไป หรือบนคลาวด์ก็ได้ ลดความยุ่งยากเรื่องการจัดซื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์เอง นอกจากนี้ค่าลิขสิทธิ์ของ Coremail มีความยืดหยุ่นต่อรองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับองค์กรใหญ่ หรือหน่วยงานที่ต้องการผู้ใช้จำนวนมาก ในขณะที่ Exchange มักคิดค่าไลเซนส์เป็นรายผู้ใช้/รายปีค่อนข้างตายตัว อีกจุดหนึ่งที่ Coremail เหนือกว่าอย่างชัดเจนคือ ฟีเจอร์ AI และการรองรับภาษาหลายภาษา – ปัจจุบัน Microsoft Exchange ยังไม่มีฟีเจอร์ AI ในตัวแบบเดียวกับ Coremail XT6 ที่มี smart drafting หรือการเชื่อม LLM (แม้ Microsoft จะเริ่มนำ AI เข้าในผลิตภัณฑ์ Office อื่นๆ แต่สำหรับ Exchange/Outlook ยังจำกัดอยู่ที่ฟีเจอร์เสริมอย่าง Outlook Copilot) Coremail ยังมีอินเทอร์เฟซ เว็บเมล ที่ทันสมัย รองรับการใช้งานได้ดีไม่แพ้ Outlook Web App ของ Exchange อีกทั้ง Coremail ยังได้เปรียบในแง่ รองรับภาษาเอเชีย หลายรูปแบบดีกว่า (รวมถึงภาษาไทย จีน) เนื่องจาก Microsoft เพิ่งเริ่มสนับสนุนอีเมลแอดเดรสที่เป็น non-English (EAI) ใน Exchange/M365 เมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่ Coremail ร่วมมือกับ THNIC ในไทยพัฒนาระบบอีเมลภาษาไทยมาตั้งแต่ปี 2021
ข้อพิจารณาคือ สำหรับองค์กรที่ต้องการทางเลือกที่ ประหยัดกว่าและมีฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่าง AI Coremail ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้ Coremail สามารถใช้ร่วมกับระบบ AD ขององค์กรเพื่อบริหารผู้ใช้ได้ ทำให้การเปลี่ยนผ่านมาสู่ Coremail ไม่กระทบวิธีการทำงานของผู้ใช้มากนัก
Zimbra
Zimbra เป็นโซลูชันอีเมลและการสื่อสารกลุ่ม แบบโอเพนซอร์สที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในองค์กร ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ Zimbra มีจุดเด่นที่มี เวอร์ชันโอเพนซอร์สให้ใช้งานฟรี และมีอินเทอร์เฟซเว็บเมลที่ใช้งานง่าย พร้อมฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการส่งเมล ปฏิทิน รายชื่อ ที่ครบถ้วน อีกทั้งยังสามารถติดตั้งบนระบบปฏิบัติการ Linux ทั่วไปได้โดยไม่เสียค่าไลเซนส์ ทำให้ประหยัดงบประมาณได้มากเมื่อเทียบกับ Exchange
เมื่อเปรียบเทียบกับ Coremail: ทั้งสองระบบสามารถติดตั้งภายในองค์กรได้คล้ายกัน แต่ Coremail ในฐานะโซลูชันเชิงพาณิชย์ มีฟีเจอร์ขั้นสูงหลายด้านที่เหนือกว่า Zimbra เช่น ระบบ High Availability Cluster, การทำ Disaster Recovery หลายไซต์, การเข้ารหัสข้อมูลที่จัดเก็บ, รวมถึงฟีเจอร์ AI ต่างๆ ที่ Zimbra ยังไม่มี นอกจากนี้ระดับ การสนับสนุน (Support) ของ Coremail ซึ่งมีทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 300 คนและประสบการณ์กว่า 25 ปีในการทำระบบอีเมลธุรกิจ ย่อมมีความเป็นมืออาชีพ และตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าองค์กร ได้ดีกว่าการพึ่งพาชุมชนโอเพนซอร์สของ Zimbra (ซึ่งอาจต้องรอการอัปเดตหรือแก้ไขบั๊กนานกว่า)
Google Workspace (Gmail สำหรับองค์กร)
Google Workspace (ชื่อเดิม G Suite) เป็นชุดบริการคลาวด์สำหรับองค์กรของ Google ที่รวมบริการอีเมล (Gmail), พื้นที่เก็บไฟล์ (Google Drive), ชุดเอกสารออนไลน์ (Google Docs/Sheets/Slides), เครื่องมือประชุม (Meet) และอื่นๆ เข้าไว้ด้วยกัน จุดแข็งของ Google Workspace คือความใช้งานง่าย อินเทอร์เฟซที่คุ้นเคยจาก Gmail เวอร์ชันบุคคลทั่วไป และความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ (real-time collaboration) บนเอกสารต่างๆ Gmail สำหรับองค์กรถือเป็นหนึ่งใน คู่แข่งที่สำคัญที่สุด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการหลีกเลี่ยงการดูแลเซิร์ฟเวอร์เอง และย้ายไปใช้บริการคลาวด์เต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่องค์กรต้องพิจารณาคือ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้บนคลาวด์ของ Google ซึ่งในบางอุตสาหกรรม หรือบางประเทศอาจมีความกังวล เรื่องความเป็นส่วนตัว และการปฏิบัติตามกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล (เช่น PDPA) เนื่องจากข้อมูลออกนอกประเทศ และอยู่นอกการควบคุมโดยตรงขององค์กร นอกจากนี้ Gmail ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น พื้นที่เก็บอีเมล สำหรับแพ็กเกจพื้นฐาน ที่อาจไม่พอกับบางองค์กร (30GB/ผู้ใช้ ในขณะที่ระบบอีเมลภายใน อาจให้ไม่จำกัดหรือเพิ่มได้ตามต้องการ)
เมื่อเทียบ Coremail กับ Gmail/Google Workspace: Coremail เหมาะกับองค์กรที่ยังต้องการ ควบคุมข้อมูลได้เอง (โดยเลือกติดตั้ง on-premise) หรือผสมผสานระบบเข้ากับแอปภายในอื่นๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ขณะที่ Google Workspace เหมาะกับองค์กรที่ต้องการทางออกที่ ง่ายและครบวงจรบนคลาวด์ โดยไม่ต้องดูแลระบบ Coremail ให้ความสามารถด้าน การปรับแต่ง และ ความยืดหยุ่น มากกว่า เช่น การผสาน AI จากหลายค่าย, การเข้ากับระบบ Legacy ภายใน, การออกแบบ UI ให้เข้ากับองค์กร ฯลฯ ในด้านความปลอดภัย Coremail ได้เปรียบในแง่ การปฏิบัติตามข้อกำหนดท้องถิ่น เพราะสามารถติดตั้งและเก็บข้อมูลในประเทศได้ (กรณีองค์กรในไทยคือเรื่อง PDPA) และมีฟีเจอร์ด้านการเข้ารหัสและ DLP เชิงลึก ดังนั้นหากองค์กรต้องการ อีเมลที่ปรับแต่งได้สูง เน้นความปลอดภัยเฉพาะ และผนวก AI ตามต้องการ Coremail จะตอบโจทย์มากกว่า
Coremail ในประเทศไทย
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มตัว มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ ในภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ Coremail มองเห็นประเทศไทยเป็นตลาดหลัก สำหรับการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเล็งเห็นว่าธุรกิจไทยจำนวนมากมี ความต้องการโซลูชันอีเมลที่ปลอดภัย รองรับการทำงานบนคลาวด์ และขับเคลื่อนด้วย AI ขั้นสูง เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน Coremail ได้จัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย (ที่อาคาร Le Concorde ถนนรัชดาภิเษก, กทม. และเปิดตัว Coremail XT6 อย่างเป็นทางการในไทยเมื่อเดือนกันยายน 2025 เพื่อแนะนำโซลูชันนี้สู่ตลาดไทยโดยตรง มีการแต่งตั้ง ผู้แทนประจำประเทศไทย เพื่อดูแลการขายและบริการหลังการขาย ซึ่งสะท้อนถึง ความมุ่งมั่นในการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าไทย ว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
จุดแข็งของ Coremail ในประเทศไทย ได้แก่ การรองรับภาษาไทยและโดเมน .ไทย ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นผลจากการที่ Coremail ได้ร่วมมือกับมูลนิธิ THNIC ของไทย ในการปรับระบบให้รองรับ อีเมลแอดเดรสภาษาไทย ตั้งแต่ระดับโปรโตคอล (มาตรฐาน EAI – Email Address Internationalization) ซึ่งช่วยให้องค์กรไทย สามารถใช้อีเมลที่มีชื่อโดเมน หรือชื่อผู้ใช้เป็นภาษาไทยได้เต็มรูปแบบ เทียบเท่ากับอีเมลภาษาอังกฤษ ความร่วมมือนี้ ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในแวดวงไอทีว่าด้วย ความหลากหลายทางภาษาในอินเทอร์เน็ต และทำให้ Coremail ได้เปรียบคู่แข่ง ในแง่การสนับสนุนภาษาท้องถิ่น นอกจากนี้ UI และคู่มือของ Coremail ก็มีการแปลเป็นภาษาไทย ทำให้ผู้ดูแลระบบ และผู้ใช้ปลายทางใช้งานได้สะดวก
ในแง่แนวโน้มการนำมาใช้ขององค์กรไทย ปัจจุบันตลาดอีเมลองค์กรในไทย ยังคงถูกครองโดยผู้เล่นรายใหญ่ เช่น Microsoft (Exchange/Office 365) และ Google (Workspace) อย่างไรก็ตาม มีหลายองค์กรโดยเฉพาะในภาครัฐ และสถาบันการเงิน ที่เริ่มพิจารณาทางเลือกอื่น ที่สามารถตอบโจทย์เรื่อง ความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล และ การปฏิบัติตามกฎหมายในประเทศ ได้ดีกว่า อาทิ ความต้องการเก็บข้อมูลอีเมลไว้ในประเทศ (ตาม PDPA) หรือการมีระบบ ที่ปรับแต่งตามนโยบายไอทีภายในได้ละเอียดกว่า Coremail ในฐานะโซลูชันที่สามารถติดตั้งในศูนย์ข้อมูลในประเทศ และควบคุมได้ 100% โดยองค์กร จึงมีโอกาสที่จะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ได้ดี ขณะเดียวกันองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการอีเมล ก็อาจสนใจ Coremail เนื่องจากมีฟีเจอร์ AI พร้อมใช้และรองรับการเชื่อมต่อ AI ภายนอกอย่างยืดหยุ่น ซึ่งต่างจากคู่แข่งที่ยังไม่มี หรือมีน้อยในด้านนี้
โดยในการเปิดตัวที่ประเทศไทย ตัวแทน Coremail ได้กล่าวว่า “ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค ธุรกิจในประเทศกำลังมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน Coremail XT6 มุ่งมอบระบบอีเมลที่ปลอดภัย ชาญฉลาด และใช้งานง่าย ที่ไม่เพียงปกป้องสินทรัพย์ข้อมูลที่สำคัญของธุรกิจ แต่ยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานประจำวันด้วย” สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ของ Coremail ที่ชูจุดขายด้าน ความปลอดภัยและ AI เพื่อลูกค้าองค์กรไทย
นอกจากนี้ การที่ Coremail มี พันธมิตรด้านเทคโนโลยีและผู้จัดจำหน่ายในไทย จะช่วยในการสร้างความน่าเชื่อถือ และบริการหลังการขายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่องค์กรไทยคำนึงถึงในการเลือกโซลูชันไอที
ลูกค้าที่ไว้วางใจ Coremail

โมเดลการให้บริการของ Coremail
Coremail มีความยืดหยุ่นในด้าน รูปแบบการให้บริการ (Delivery Model) เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณของแต่ละองค์กร ดังนี้
- รูปแบบ On-Premises: องค์กรสามารถซื้อซอฟต์แวร์ Coremail มาติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ของตนเอง (ภายในองค์กรหรือบนดาต้าเซ็นเตอร์ที่องค์กรเลือก) การติดตั้งแบบนี้ ให้อิสระในการปรับแต่ง และควบคุมระบบได้เต็มที่ เหมาะกับองค์กรที่มีทีมไอทีพร้อม และต้องการความมั่นใจว่า ข้อมูลอีเมลทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ภายใน ตามข้อกำหนดองค์กร
- รูปแบบ Cloud Service (SaaS): Coremail ให้บริการอีเมลแบบคลาวด์ภายใต้ชื่อ Coremail Enterprise Email Cloud โดยโฮสต์ระบบบนคลาวด์ของตนเอง และคิดค่าบริการเป็นรายผู้ใช้ต่อเดือน/ปี คล้ายกับบริการอย่าง Office 365 หรือ Google Workspace ข้อดีคือองค์กรไม่ต้องดูแลฮาร์ดแวร์เอง และได้รับบริการแบบครบวงจร end-to-end จาก Coremail (ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานจนถึงการดูแลระบบ) Coremail มีแพ็กเกจบนคลาวด์หลายระดับ ได้แก่ Professional, Premium และ Enterprise ซึ่งแตกต่างกันในด้านปริมาณพื้นที่เก็บข้อมูล, ฟีเจอร์ขั้นสูงบางอย่าง และระดับการรองรับผู้ใช้/การปรับแต่ง องค์กรสามารถเลือกแพ็กเกจที่ตรงความต้องการและงบประมาณได้ การใช้บริการแบบคลาวด์นี้ มีการให้ทดลองใช้ฟรี 15 วัน เพื่อให้ลูกค้าทดลองก่อนตัดสินใจ และไม่มีค่าใช้จ่ายลงทุนล่วงหน้าในด้านฮาร์ดแวร์
- บริการเสริมและการสนับสนุน: ไม่ว่าองค์กรจะเลือกใช้ Coremail แบบใด บริษัทผู้พัฒนามีทีมสนับสนุนทางเทคนิคและ บริการหลังการขาย รองรับ โดยเฉพาะลูกค้าที่มีสัญญาบำรุงรักษารายปีจะได้รับสิทธิในการอัปเดตซอฟต์แวร์, แพตช์ความปลอดภัย, และการสนับสนุนผ่านช่องทางต่างๆ (โทรศัพท์, อีเมล, ระบบ Ticket) อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Coremail ยังมี ศูนย์ช่วยเหลือออนไลน์ (Support Center) และเอกสาร Knowledge Base สำหรับผู้ดูแลระบบที่ต้องการค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเองอีกด้วย ในประเทศไทย การที่มีสำนักงานและทีมงานท้องถิ่น ยิ่งช่วยให้การสื่อสาร และแก้ปัญหาทำได้รวดเร็ว และเข้าใจบริบทของลูกค้ามากขึ้น

เป็นโซลูชันระบบอีเมลสำหรับองค์กร ที่ครบวงจร ตั้งแต่ฟีเจอร์การใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ไปจนถึงความสามารถทางเทคนิคเชิงลึก สำหรับฝ่ายไอที จุดเด่นอยู่ที่ ความปลอดภัย, ความน่าเชื่อถือ, การรองรับ AI และการปรับแต่ง ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้ดี เหมาะสำหรับองค์กรไทย ที่มองหาระบบอีเมลยุคใหม่ ที่ทั้งปลอดภัยและชาญฉลาด