สั่งซื้อโทรกลับ

สหรัฐฯ ปิดประตู! ร่างกฎหมายใหม่ห้ามหน่วยงานรัฐใช้ AI จากจีน หลังพบ DeepSeek เชื่อมโยงกองทัพ

เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ จากทั้งสองพรรคการเมือง ได้ร่วมกันเสนอร่างกฎหมายสำคัญที่อาจพลิกโฉมอนาคตของการแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ร่างกฎหมายนี้มีชื่อว่า “No Adversarial AI Act” โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ การห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาจากประเทศที่เป็นปฏิปักษ์ เช่น จีน รัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ

ทำไมต้องแบน AI จากต่างชาติ?

สาเหตุสำคัญที่จุดประกายร่างกฎหมายนี้ขึ้นมา คือความกังวลด้าน ความมั่นคงทางไซเบอร์ หลังจากมีรายงานว่า DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพ AI จากจีน มีความเชื่อมโยงกับกองทัพและหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเข้าถึงฮาร์ดแวร์สำคัญอย่างชิปจาก Nvidia ในปริมาณมาก

DeepSeek เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างตั้งแต่เดือนมกราคม 2024 หลังอ้างว่าโมเดล AI ของตนที่ชื่อ DeepSeek-R1 มีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดลจากบริษัทสหรัฐฯ อย่าง ChatGPT และ Llama แต่กลับใช้ต้นทุนที่ถูกกว่ามาก ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น นักวิจัยยังพบว่าโมเดลนี้สามารถนำไปใช้สร้างโค้ดประสงค์ร้าย เช่น แรนซัมแวร์ ได้อีกด้วย

ไม่เพียงแค่ DeepSeek เท่านั้น ยังมี AI รุ่นใหม่จากจีนอีกหลายตัวที่ถูกจับตามอง เช่น Manus จากบริษัท Butterfly Effect และ ERNIE X1 จาก Baidu ซึ่งต่างก็ประกาศศักดาในตลาดโลกช่วงต้นปี 2025

สาระสำคัญของร่างกฎหมาย "No Adversarial AI Act"

ร่างกฎหมายฉบับนี้มีข้อกำหนดที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้ AI ดังนี้:

  • สร้างและอัปเดตรายการ AI ปรปักษ์: กำหนดให้ Federal Acquisition Security Council สร้างและดูแลรายการโมเดล AI ที่พัฒนาขึ้นในประเทศปรปักษ์ และต้องอัปเดตรายการนี้ทุก 180 วัน
  • จำกัดการซื้อและใช้งาน: หน่วยงานรัฐบาลกลางจะถูกห้ามไม่ให้ซื้อหรือใช้เทคโนโลยี AI เหล่านี้โดยเด็ดขาด เว้นแต่จะได้รับการยกเว้นจากรัฐสภาหรือสำนักงานบริหารและงบประมาณ (OMB)
  • ข้อยกเว้นที่จำกัด: การยกเว้นจะจำกัดอยู่เฉพาะวัตถุประสงค์ด้านการวิจัย การทดสอบ หรือความมั่นคงของชาติอย่างแคบๆ หรือเพื่อพิสูจน์ว่าโมเดล AI นั้นปราศจากการควบคุมหรืออิทธิพลจากศัตรูต่างชาติอย่างแท้จริง
  • ครอบคลุม AI ในอนาคต: กฎหมายยังครอบคลุมถึงโมเดล AI ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อระบบและข้อมูลของรัฐบาลกลาง
"สงครามเย็นครั้งใหม่" ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้ที่เพิ่มขึ้นว่า AI คือ "เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่เป็นศูนย์กลาง" ของ "สงครามเย็นครั้งใหม่" ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ส.ส. John Moolenaar ประธานคณะกรรมการคัดเลือกประจำสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยประเทศจีน ชี้ว่าอนาคตของดุลอำนาจโลกอาจถูกกำหนดโดยผู้นำด้าน AI

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านต่างย้ำว่าการแข่งขันนี้คือ "การแข่งขันด้านเทคโนโลยีความมั่นคงระยะยาว" ที่จะกำหนดรูปแบบของระเบียบการเมืองโลกในอีกหลายปีข้างหน้า Jack Clark ผู้ร่วมก่อตั้ง Anthropic ได้แสดงทัศนะว่า AI ที่สร้างขึ้นในระบอบประชาธิปไตยจะนำไปสู่เทคโนโลยีที่ดีกว่าสำหรับมนุษยชาติ ขณะที่ AI ที่สร้างในประเทศเผด็จการจะฝังแน่นอยู่กับระบอบเผด็จการอย่างแยกไม่ออก

แม้รายงาน AI Index 2025 ของ Stanford จะระบุว่าสหรัฐฯ เป็นผู้นำในการผลิตโมเดล AI ชั้นนำ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าจีนกำลังลดช่องว่างด้านประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วและยังเป็นผู้นำด้านการตีพิมพ์งานวิจัยและสิทธิบัตร AI ด้วย

แล้วตอนนี้ DeepSeek ถูกแบนหรือยัง?

แม้ว่าร่างกฎหมายนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย แต่ปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐบาลกลางบางแห่ง และหลายรัฐในสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามใช้ DeepSeek บนอุปกรณ์ราชการแล้ว โดยการผลักดันร่างกฎหมาย "No Adversarial AI Act" ครั้งนี้ จะทำให้เกิด “เกราะถาวร” ในการกัน AI จากประเทศคู่แข่งออกจากระบบราชการโดยสิ้นเชิง

ร่างกฎหมาย "No Adversarial AI Act" ไม่ใช่แค่เรื่องการแบนเทคโนโลยีจากจีน แต่มันสะท้อนถึงการ “ขีดเส้นชัดเจน” ระหว่างโลกแห่ง AI ที่สร้างจากค่านิยมประชาธิปไตย และ AI ที่พัฒนาภายใต้รัฐบาลอำนาจนิยม ในโลกที่ AI กำลังกลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม การควบคุมต้นน้ำของเทคโนโลยีนี้จึงหมายถึงการควบคุมอำนาจในอนาคตด้วยเช่นกัน